หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ มีชื่อสกุลว่า คำพันธ์ ศรีสุวงศ์ เกิดเมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2458 บ้านหนองหอย หมู่ที่ 4 ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม
ต้นตระกูล ของท่านมีเชื้อสายมาจากทางจังหวัดร้อยเอ็ด บ้านไผ่อินทรีย์ บ้านนาสะแบง โยมพ่อแท้ชื่อ นายเคน โยมมารดา ชื่อนางหล่อม หลวงปู่มีน้อง ชื่อคำพวง เสียชีวิตอายุประมาณ 70 ปี ตอนหลวงปู่อายุได้ 5 ปี โยมพ่อเสียชีวิต โยมมารดาได้แต่งงานใหม่กับพ่อเลี้ยง ชื่อนายแสง ซึ่งรักท่านและน้องมาก
หลวงปู่เล่าว่า โยมมารดาอายุ 42 ปี ตอนนั้นหลวงปู่อายุ 24 ปี ได้สอนท่านด้วย คำพูดเป็นอมตะมากว่า “เฮ็ดจั่งเพิ่น อย่าให้เฮ็ดจั่งเพิ่น แต่ให้เฮ็ด คือเพิ่น” และ “ไปป่าให้เตรียมไม้ปัดพื้น ไปนำ มันขะลำ” หลวงปู่บวชได้ 6 ปีถึงได้รู้ในตำรา ว่า ไม้ทุกต้นในป่านั้นเป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้
หลวงปู่คำพันธ์ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุครั้งแรกเมื่ออายุ ระหว่าง 20 - 24 ปี ท่านพระครูสัจจาภิราม (ญาถ่านพิม ) วัดธาตุศรีคุณ อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม เจ้าคณะอำเภอนาแกองค์แรกเป็นอุปัชฌาย์
หลวงปู่คำพันธ์พูดถึงหลวงปู่พิมว่า ก่อนท่านจะนิพพานเคยสั่งให้กลับมา สร้างรูปหล่อของหลวงปู่พิมพ์ไว้ที่วัดธาตุศรีคุณ ท่านเป็นผู้ที่จิตใจสบาย อารมณ์ดี ไม่มีสิ่งใดมากระทบให้เกิดอารมณ์ได้
รูปที่ ๒ พระอุปัชฌาย์รูปที่หนึ่ง
ของหลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโย หลวงปู่พระครูสัจจาภิราม (พิม)
พระครูนาครธรรมนิเทศ (หน่าน) |
ท่านเรียนกรรมฐานจากพระอาจารย์หลายท่าน เช่นหลวงปู่กินรี ( ที่บ้านหนองฮี อ.ปลาปาก นครพนม ),หลวงปู่เสาร์ (ที่บ้านโพนดู่,หนองหอย อ.นาแก นครพนม) ผ้าขาวครุฑ (ที่จังหวัดเลย เป็นลูกศิษย์ของญาถ่านสำเร็จลุน ท่านเป็นคนจากบ้านหนองหอยเป็นญาติหลวงปู่ กระดูกของท่านส่วนหนึ่งหลวงปู่ได้นำมาไว้ที่วัดส้างพระอินทร์)
การสอนกรรมฐานทั้งสามท่านมีการสอนเหมือนกัน คือใช้คำภาวนาพุทโธ สอนสติปัฎฐาน ๔ ท่านจึงนำมาปฏิบัติเองจนเห็นพระอินทร์ในสมาธิ วันหนึ่งพระอินทร์มานั่งที่หัวครกกระเดื่องท่านนั่งอีกด้านหนึ่ง ถามว่าพระอินทร์มาทำไม ตอบว่ามานิมนต์สามเณรขึ้นสวรรค์ แรม ๑ ค่ำ (คือพรุ่งนี้) ท่านกลัวตายจึงนั่งภาวนาเดินจงกรมทั้งคืน จนเหนื่อย ได้นอนหลับไป และตกใจตื่นตอนดึก เหลียวมองเห็นสิ่งของเครื่องใช้ทุกสิ่งยังอยู่ ปลุกพระองค์ที่นอนอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่ตื่น ท่านนึกว่าตายแล้ว จึงนั่งภาวนาอยู่จนสว่าง และบอกเพื่อนว่า ถ้าท่านตายให้เพื่อนตัดนิ้วชี้ทั้งข้างซ้ายและขวา นำไปตากให้แห้ง นำไปส่งให้พ่อแม่ของท่าน แต่ท่านก็ไม่ตายซักที
อีกคราวหนึ่งท่านนั่งกรรมฐานแล้วเห็นแสงสว่างเหมือนกับหลอดไฟตกลงมาจากฟ้า กลายเป็นบันไดขึ้นสวรรค์ ท่านอธิษฐานให้แข็งแรงกว่าเดิมเพื่อจะได้ปีนขึ้นไปสวรรค์ แต่บันไดกลับหายไป ถ้ารู้จักมันแล้วหายไปหมด ตั้งแต่นั้นมาท่านจึงรู้วิธีแก้อารมณ์กรรมฐาน รู้จักวิปัสนูกิเลส และสอนกรรมฐานคนอื่นได้